Yearly Archives: 2014
อีกไม่กี่วันก็ถึงวันปีใหม่แล้ว ซึ่งทุกครั้งที่ถึงวันปีใหม่ เราจะถือว่าเป็นการรีเซ็ทการใช้ชีวิตเพื่อเริ่มต้นใหม่ สิ่งใดที่ไม่ดีก็ทิ้งและละเลิกไป สิ่งไหนที่ดีก็เริ่มต้นทำตั้งแต่ต้นปี
สิ่งสำคัญที่ยึดถือกันเป็นธรรมเนียมในวันปีใหม่ ก็คือการมอบของขวัญและอวยพรนั่นเอง ฉะนั้นแล้วเพื่อให้เข้ากับเทศกาลที่กำลังจะมาถึง siameng.com ขอรวบรวมคำอวยพรปีใหม่ Happy New Year 2015 มาฝากผู้สนใจภาษาอังกฤษทุกคน เพื่อนำไปใช้มอบให้กับผู้ที่เราปรารถนาดี
คำอวยพร Happy New Year 2015 ภาษาอังกฤษ
Wishing yοu good Ηealth, Ηappiness Αnd success Ιn This Year Αnd Αlways. Happy Νew Year 2015!
ขอให้คุณมีสุขภาพดี ,มีความสุข และประสบความสำเร็จตลอดปีตลอดไป . สุขสันต์วันปีใหม่ 2015
As the New Year approaches us with new hopes, here is wishing you and your family a wonderful year ahead. Happy New Year 2015.
ปีใหม่นำเราไปสู่ความปรารถนาใหม่ ในที่นี้คือความปรารถนาให้ตลอดปีเป็นปีที่ยอดเยี่ยมสำหรับคุณและครอบครัว . สุขสันต์วันปีใหม่ 2015
May the new Year 2015 that follows Be the Best you have Εver Ηad. Ηave Α blissful Νew year!
ขอให้ปีใหม่ 2015 ที่กำลังจะถึง เป็นปีที่ดีที่สุดสำหรับคุณ . เป็นปีใหม่ที่เต็มไปด้วยความสุข
Wishing You a Year Filled With Great Joy Peace And Prosperity Have a Wonderful Year Ahead Happy New Year!!!
ขอให้ปีใหม่ของคุณเต็มไปด้วย ความสุข สงบ และรุ่งเรือง อย่างมากมาย เป็นปีที่ยอดเยี่ยม สุขสันต์วันปีใหม่
Memorable Moment Are Celebrated Together,You are My Best Friend for now & forever. Happy New Year 2015
ช่วงเวลาที่เราร่วมฉลองด้วยกันอยู่ในความทรงจำ ,เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันในตอนนี้และตลอดไป . สุขสันต์วันปีใหม่ 2015
Lighten up your surroundings with your sweet smile, And make way for happiness with your good deeds this New Year,Happy New Year 2015!
ส่องสว่างด้วยรอยยิ้มของคุณ สร้างความสุขด้วยการทำดีของคุณในปีใหม่ สุขสันต์วันปีใหม่ 2015
ครอบครัวภาษาอังกฤษ ตรงกับคำว่า family ซึ่งคำศัพท์เกี่ยวกับสมาชิกครอบครัวนั้นถือได้ว่าเป็นคำศัพท์ชุดพื้นฐานที่ผู้เริ่มเรียนภาษาจำเป็นต้องจดจำไว้
ครอบครัวภาษาอังกฤษ
parent แปลว่า ผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะเป็นพ่อหรือแม่ เมื่อเติม s เข้าไปด้านหลัง จะได้คำว่า parents แปลว่า พ่อและแม่
father แปลว่า พ่อ แต่โดยส่วนใหญ่สมาชิกในครอบครัวมักจะเรียกสั้น ๆ ว่า dad
mother แปลว่า แม่ ซึ่งมักเรียกสั้น ๆ ว่า mom (อังกฤษแบบอเมริกัน) หรือ mum (อังกฤษแบบบริติช)
พ่อตา และ พ่อของสามี ในภาษาอังกฤษ คือ father-in-law , ส่วมแม่ยาย หรือ แม่ของสามี คือ mother-in-law
พ่อเลี้ยง ตรงกับภาษาอังกฤษว่า step-father ,แม่เลี้ยง คือ step-mother
ลูกเลี้ยง เราเรียกว่า step-child โดย step-son คือ ลูกเลี้ยงผู้ชาย , step-daughter คือ ลูกเลี้ยงผู้หญิง
พ่อกับแม่ แต่งงานกัน ฝ่ายพ่อเป็นสามี ซึ่งตรงกับคำว่า husband ส่วนแม่เป็นภรรยา ตรงกับคำว่า wife
son แปลว่า ลูกชาย
daughter แปลว่า ลูกสาว
หากแม่คลอดลูกออกมาเป็นแฝด ในภาษาอังกฤษใช้คำว่า twin
สำหรับพี่ชาย หรือ น้องชาย เราใช้คำเรียกเดียวกันได้ว่า brother แต่ถ้าจะระบุให้ชัดว่าเป็นพี่ชายหรือน้องชาย ให้นำคำขยายมาวางเพิ่มข้างหน้า โดยพี่ชายจะเป็น Older Brother ส่วนน้องชายจะเรียกว่า Younger Brother
sister แปลว่า พี่สาว หรือ น้องสาว หากจะระบุให้ชัดเราจะเรียกพี่สาว่า Older Sister และเรียกน้องสาวว่า Younger Sister
grandfather แปลว่า ปู่ หรือ ตา ,จะเรียกว่า granddad หรือ grandpa ก็ได้
grandmother แปลว่า ย่า หรือ ยาย ซึ่งหากเป็นสมาชิกในครอบครัวเดียวกัน จะเรียกเป็นกันเองว่า granny หรือ grandma ก็ได้
หลานปู่ หลานย่า หลานตา หลานยาย จะเรียกดังนี้
grandchild แปลว่า หลาน(คนเดียว) grandchildren แปลว่า หลาน ๆ ทั้งสองคำข้างต้นไม่ได้ระบุเพศ หากต้องการแยกให้ชัด grandson จะแปลว่า หลานชาย ส่วน granddaughter แปลว่า หลานสาว
uncle (ใช้กับผู้ชาย) แปลว่า ลุง ,อา
aunt (ใช้กับผู้หญิง ) แปลว่า ป้า หรือ น้า
หลานลุง หลานป้า หลานน้า หลานอา หากเป็นหลานชาย ใช้คำว่า nephew สำหรับหลานสาว ใช้คำว่า niece
หลังจากอ่านจบแล้ว เชื่อได้ว่า คงจะเติมคำในช่องว่างในภาพด้านบนได้ถูกต้องกันแล้ว
สิ่งที่จะช่วยลดอุบัติเหตุบนท้องถนนได้อย่างมากอีกประการหนึ่ง คือ ป้ายจราจร ซึ่งแม้ว่าในภาษาไทยหรืออังกฤษ จะมีรูปแบบสัญลักษณ์ไม่ต่างกันมาก เพราะเป็นป้ายที่ออกแบบให้มีมาตรฐานเป็นสากล แต่ในส่วนคำอธิบายความหมายป้ายที่เป็นภาษาอังกฤษก็ยังควรศึกษาเป็นความรู้ เพราะใช้ประโยชน์ได้ทั้งในเรื่องการทำความเข้าใจป้ายจราจร และการสนทนาสื่อสารด้านการเดินทางอีกด้วย
ตัวอย่างป้ายจราจร ภาษาอังกฤษ
Crossroads แปลว่า สี่แยก
T- junction แปลว่า แยกตัว T
Side Road คือ มีถนนตัดด้านข้าง
Staggered junction คือ มีทางแยกเหลี่ยมกัน
Traffic merges from the left แปลว่า มีทางผสานทางด้านซ้าย
Traffic merges onto main carriageway แปลว่า กำลังเข้าสู่ฝั่งซ้ายของถนนหลัก
Reduce Speed Now แปลว่า ลดความเร็วเดี๋ยวนี้
Road narrows on both sides แปลว่า ถนนแคบลงทั้งสองข้าง
Road narrows on right แปลว่า ถนนทางฝั่งขวาแคบลง
Tunnel คือ อุโมง
Hump Bridge คือ สะพานยกระดับ
Uneven Road แปลว่า ถนนขรุขะ
Slippery road แปลว่า ถนนลื่น
กรณีที่เป็นป้ายวงกลม จะเป็นป้ายห้าม ไม่ว่าจะมีแถบสีแดงคาดหรือไม่ก็ตาม ให้จำไว้เช่นนี้
No overtaking แปลว่า ห้ามแซง
No U-turn แปลว่า ห้ามกลับรถ
No right turn คือ ห้ามเลี้ยวขวา
No left turn คือ ห้ามเลี้ยวซ้าย
ทั้งหมดที่ผ่านมา คือ ตัวอย่างป้ายจราจรในภาษาอังกฤษ ซึ่งหากเราทราบความหมายของสัญลักษณ์แต่ละแบบ ก็สามารถที่จะนำไปอธิบายเรื่องการบอกทางให้ชาวต่างชาติได้ อีกทั้งบางท่านอาจจะต้องขับรถไปต่างประเทศ หากเข้าใจความหมายของสัญลักษณ์ป้ายจราจรก็จะช่วยให้ขับขี่ได้อย่างถูกต้อง
การเริ่มต้นอ่านภาษาอังกฤษนั้น ควรเริ่มจากบทความง่าย ๆ เพราะหากยากเกินไปจะทำให้ผู้เรียนเบื่อหน่าย ท้อแท้ นิทานภาษาอังกฤษสั้น ๆ เป็นบทความที่เหมาะสมสำหรับให้ผู้เริ่มเรียนภาษาได้ฝึกอ่าน
นิทานภาษาอังกฤษสั้นๆ
The Fox and the Cat
นิทานเรื่อง : สุนัขจิ้งจอกและแมว
A Fox was boasting to a Cat of its clever devices for escaping its enemies.
สุนัขจิ้งจอกตัวหนึ่งคุยโม้กับแมวว่า มันมีอุบายที่ชาญฉลาดมากมายสำหรับใช้หลบหนีศัตรู
“I have a whole bag of tricks,” he said, “which contains a hundred ways of escaping my enemies.”
ฉันมีเคล็ดลับเต็มกระเป๋า ซึ่งบรรจุวิธีนับร้อยที่จะหลบหนีศัตรูของฉัน สุนัขจิ้งจอกกล่าว
(bag of tricks เป็นสำนวนแปลว่า วิธีการที่ฉลาด แยบยล)
“I have only one,” said the Cat; “but I can generally manage with that.”
แมวบอกไปว่า ฉันมีแค่วิธีเดียว แต่ฉันสามารถใช้มันได้ผลเสมอ
Just at that moment they heard the cry of a pack of hounds coming towards them, and the Cat immediately scampered up a tree and hid herself in the boughs.
ไม่นานนัก ทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงร้องของฝูงหมาล่าเนื้อตรงมายังพวกเขา เจ้าแมวรีบกระโดดขึ้นต้นไม้และซ่อนตัวหลบอยู่หลังกิ่งไม้
“This is my plan,” said the Cat. “What are you going to do?”
นี่คือวิธีของฉัน แมวกล่าว แล้วเจ้าละจะทำอย่างไร?
The Fox thought first of one way, then of another, and while he was debating the hounds came nearer and nearer, and at last the Fox in his confusion was caught up by the hounds and soon killed by the huntsmen. Miss Puss, who had been looking on, said:
สุนัขจิ้งจอกเริ่มคิดจากวิธีแรก ไล่ไปยังวิธีอื่น ในขณะที่มันกำลังใคร่ครวญอยู่นั้น หมาล่าเนื้อก็ใกล้มาเรื่อย ๆ และในที่สุด สุนัขจิ้งจอกที่กำลังสับสนว่าจะเอาตัวรอดด้วยวิธีไหนก็โดนหมาล่าเนื้อจับและถูกนายพรานฆ่า
The Two Pots
นิทานเรื่อง : หม้อสองใบ
Two Pots had been left on the bank of a river, one of brass, and one of earthenware.
หม้อสองใบถูกทิ้งไว้ริมแม่น้ำ ใบหนึ่งทำด้วยทองเหลือง อีกใบเป็นหม้อดินเผา
When the tide rose they both floated off down the stream.
เมื่อน้ำในแม่น้ำเพิ่มขึ้น หม้อทั้งสองก็เริ่มลอยไปตามลำธาร
the earthenware pot tried its best to keep aloof from the brass one, which cried out:
หม้อดินเผาพยายามอย่างยิ่งที่จะอยู่ห่างจากหม้อทองเหลือง หม้อทองเหลืองจึงร้องบอกว่า
“Fear nothing, friend, I will not strike you.”
ไม่ต้องกลัว เพื่อน ,ฉันไม่ชนนายหรอก
“But I may come in contact with you,” said the other, “if I come too close; and whether I hit you, or you hit me, I shall suffer for it.”
หม้อดินเผาตอบกลับว่า แต่ฉันอาจจะไปชนนาย ถ้าเราอยู่ใกล้กันเกินไป ไม่ว่าฉันจะชนนาย หรือนายชนฉัน ฉันก็ต้องเป็นฝ่ายเจ็บปวด
ชาวไทยมีคำสุภาษิตเช่นไร ฝรั่งก็มีเช่นนั้น คำสุภาษิต (proverb) คือ ประโยคที่เป็นคำสอนเตือนใจให้แง่คิด โดยมักจะไม่สื่อออกมาตรง ๆ แต่ใช้การบอกกล่าวด้วยการเปรียบเทียบกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัว
สุภาษิตภาษาอังกฤษ
1. When in Rome, do as the Romans.
“เมื่ออยู่ในกรุงโรม ให้ทำเหมือนเช่นชาวโรมัน” ความหมายของสุภาษิตบทนี้ตรงกับของไทยที่ว่า เข้าเมืองตาหลิ่วให้หลิ่วตาตาม นั่นเอง คือหมายถึง เมื่อเราอยู่ที่ไหนก็ควรที่จะทำตัวให้กลมกลืนเข้ากับคนที่นั่น
2. You can’t make an omelet without breaking a few eggs.
“คุณไม่สามารถทำไข่เจียว โดยไม่ให้ไข่มีรอยแตก” หมายความว่า การทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ย่อมมีคนไม่พอใจ ซึ่งคุณไม่ควรกังวลกับทุกคน แต่ควรมุ่งสนใจไปที่ผลลัพธ์ของสิ่งที่ทำ
3. Beggars can’t be choosers.
“ขอทานไม่สามารถเลือก” หมายถึง หากคุณขอความช่วยเหลือจากใคร คุณต้องรับช่วยเหลือเท่าที่เขาจะพอใจให้ โดยไม่อาจเรียกร้องมากไปกว่านั้น
4. Don’t judge a book by its cover.
“อย่าตัดสินหนังสือจากหน้าปก” มีหนังสือจำนวนมากที่มีเนื้อหาดีแต่หน้าปกไม่สวย เช่นเดียวกัน เราไม่ควรด่วนตัดสินใจอะไรจากการมองเปลือกนอกอย่างผิวเผิน
5. “Actions speak louder than words.”
“การกระทำส่งเสียงดังกว่าคำพูด” คนที่เอาแต่พูด ไม่อาจประสบความสำเร็จเหมือนกับคนที่ลงมือทำ
6.” Don’t bite the hand that feeds you.”
“อย่ากัดมือที่ป้อนอาหารคุณ” ถ้ากำลังมีใครสักคนคอยช่วยเหลือคุณอยู่ คุณจะต้องระมัดระวัง อย่าทำให้เขาโกรธหรือไม่พอใจ
7. “Easy come, easy go.”
“มาง่าย ก็ไปง่าย” อะไรที่ได้มาโดยง่ายมักจะจากไปโดยง่าย เช่น คนที่ได้เงินจากการพนัน สุดท้ายก็เสียที่ได้มาไปจนหมด
8. “Hope for the best, but prepare for the worst.”
“คาดหวังสิ่งที่ดีที่สุด แต่เตรียมพร้อมสำหรับสิ่งที่แย่ที่สุด” หมายความว่า สิ่งไม่ดีเกิดขึ้นได้เสมอ เราควรเตรียมตัวเตรียมใจที่จะรับมือไว้
ข้างต้นที่หยิบยกมา คือ ตัวอย่างสุภาษิตคำพังเพยภาษาอังกฤษ ซึ่งสำนวนเหล่านี้นอกจากให้ความรู้ด้านภาษาแล้ว ยังให้แง่คิดด้านการใช้ชีวิตอีกด้วย หวังว่าผู้อ่านทุกท่านคงถูกใจ
present perfect tense เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ tense ในภาษาอังกฤษที่ถูกใช้บ่อย แต่เนื่องจากรูปแบบทางภาษาอังกฤษไม่ตรงกันกับภาษาไทย จึงทำให้ผู้เรียนรู้สึกสับสนบ้าง
อย่างไรก็ดี หากผู้ศึกษาภาษาอังกฤษได้ทราบถึงโครงสร้าง และหลักการใช้ Present Perfect Tense ที่ถูกต้อง ก็จะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว
โครงสร้างของ Present Perfect Tense
subject + auxiliary verb (have , has) + past participle
ประธาน + กริยาช่วย (have หรือ has ) + กริยา ช่องที่ 3
เช่น I have finished my work
เมื่อไรที่เราใช้ Present Perfect Tense
1. ใช้กล่าวถึงประสบการณ์ที่เราเคยทำในอดีต โดยไม่ระบุว่าสิ่งที่ทำนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด โดยมากมักจะมีคำว่า ever ,never ประกอบประโยค เช่น
I have never met Nadej. ฉันไม่เคยเจอณเดช
2. กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง หรือ ข้อมูลใหม่ เช่น
I have bought a bicycle. ฉันได้ซื้อจักรยานหนึ่งคัน (ก่อนหน้านี้ยังไม่ซื้อจักรยาน แต่ตอนนี้ซื้อแล้ว)
3. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มักใช้คำว่า since หรือ for ร่วมประกอบประโยค เช่น
I have worked here since 1980. ฉันทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 1980
He has lived in London for 10 years. เขาอยู่ในลอนดอนมา 10 ปีแล้ว (ปัจจุบันก็ยังอยู่)
หมายเหตุ
for จะใช้กับช่วงระยะเวลา เช่น 5 นาที , 10 ชั่วโมง , 15 ปี
since จะใช้กับเวลา ณ จุดใดจุดหนึง เช่น 14 นาฬิกา , เดือนพฤษภาคม , ปี 2010
ในภาษาอังกฤษนั้น มีหลักในการใช้ Present Continuous Tense เมื่อต้องกล่าวถึงสถานการณ์ดังต่อไปนี้
1. พูดคุยถึงกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น
I am singing ฉันกำลังร้องเพลง
2. ใช้บอกเหตุการณ์ที่กำลังทำอยู่ แต่ไม่ได้ทำในขณะที่พูด
I am working in Bangkok this week. ฉันกำลังทำงานในกรุงเทพในสัปดาห์นี้ (ขณะพูดอาจจะเป็นช่วงเลิกงานแล้ว ไม่ได้นั่งทำงานอยู่)
3. ใช้กล่าวถึงสิ่งที่จะทำในอนาคตอันใกล้
It is raining soon . ฝนกำลังจะตกในไม่ช้า (ขณะพูด ฝนยังไม่ตก แต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม )
I am going to see the movie tomorrow. ฉันจะไปดูหนังในวันพรุ่งนี้
โครงสร้างของ Present Continuous Tense
subject + auxiliary verb + main verb + ing
ประธาน + กริยาช่วย (Verb to be ) + กริยาหลัก เติม ing
subject |
auxiliary verb |
main verb |
|
I |
am |
sitting |
|
We |
are |
Playing |
soccer |
He |
is |
watching |
television |
ประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense
เราสามารถเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้กลายเป็นประโยคปฏิเสธได้ด้วยการเติมคำว่า not ที่ข้างหลังคำกริยาช่วย (auxiliary verb) เช่น
I am playing football กลายเป็น I am not playing football แปลว่า ฉันไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล
ประโยคคำถามใน Present Continuous Tense
มีโครงสร้าง คือ is, am ,are (auxiliary verb) + subject + main verb + ing
เช่น จากประโยคบอกเล่า he is drinking water เปลี่ยนเป็นประโยคคำถามได้ ดังนี้
Is he drinking water ? เขากำลังดื่มน้ำอยู่ ใช่หรือไม่ ?
กรณีที่ต้องการสร้างประโยคคำถามด้วยกลุ่มคำ Question Words เช่น what (อะไร), when (เมื่อไร) , where (ที่ไหน) , who (ใคร)
ให้วางคำ Question Words ที่ข้างหน้าของประโยคคำถามใน Present Continuous Tense ได้เลย เช่น
He is watching television. เขากำลังดูทีวี
Where is he watching television? เขากำลังดูทีวีอยู่ที่ไหน
ในบทเรียนนี้เราจะได้ทราบถึงหลักในการใช้ประโยค Present Simple Tense ซึ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างของประโยคและทราบว่าเมื่อใดบ้างที่จำเป็นต้องใช้ Present Simple
เราจะใช้ Present Simple Tense ในเหตุการณ์ดังต่อไปนี้
– เป็นการกระทำที่เป็นกิจวัตร
– เกิดขึนเป็นประจำอยู่เสมอ
– เป็นความจริงเสมอ
– เป็นความจริงขณะที่พูด
โครงสร้างของ Present Simple Tense
ประธาน + กริยาช่องที่ 1 (เติม s เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ แต่ยกเว้น i กับ you)
ตัวอย่างเช่น
I like coffee ฉันชอบกาแฟ
He likes coffe เขาชอบกาแฟ (คำว่า like เติม s เพราะเป็นเอกพจน์ และไม่ใช่ i กับ you)
ประโยคปฏิเสธ ใน Present Simple Tense
การเปลี่ยนประโยคบอกเล่า เป็นประโยคปฏิเสธทำได้ ดังนี้
– กรณีที่คำกริยาเป็น Verb to be ซึ่งได้แก่ is , am ,are ให้เติมคำว่า not เข้าไปข้างหลัง
ตัวอย่างเช่น
I am Thai แปลว่า ฉันเป็นคนไทย
I am not Thai แปลว่า ฉันไม่ใช่คนไทย
– กรณีที่ในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be การเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธ ให้เพิ่มคำกริยาช่วย (do , does) แล้วเติม not ที่ข้างหลังกริยาช่วยนั้น
ตัวอย่างเช่น
I like coffee ฉันชอบกาแฟ
I do not like coffee ฉันไม่ชอบกาแฟ
He plays football เขาเล่นฟุตบอล
He does not play football เขาไม่เล่นฟุตบอล
การเติมกริยาช่วยนั้น ถ้าประธานเป็น I, you, we, they ให้ใช้ do
ถ้าประธานเป็น He, she, it ให้ใช้ does
ประโยคคำถาม ใน Present Simple Tense
– กรณีที่คำกริยาเป็น Verb to be ซึ่งได้แก่ is , am ,are ให้ย้ายคำกริยามาไว้ที่หน้าประโยค เช่น
He is a police เขาเป็นตำรวจ
Is he a police ? เขาเป็นตำรวจใช่หรือไม่
– กรณีที่คำกริยาในประโยคไม่ใช่ Verb to be ให้เพิ่มกริยาช่วยเข้ามาวางที่หน้าประโยค เช่น
You work at coffee shop คุณทำงานที่ร้านกาแฟ
Do you work at coffee shop ? คุณทำงานที่ร้านกาแฟใช่หรือไม่
คำระบุความถี่ของเหตุการณ์ที่มักจะประกอบอยู่ใน Present Simple Tense
อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า present simple tense คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นคำที่ระบุความถี่ของเหตุการณ์เหล่านี้จึงมักนำมาใช้ประกอบอยู่ในประโยคที่เป็น present simple
always เสมอ
usually มักจะ
normally ปกติ
often บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
occasionally บางครั้งบางคราว
rarely ไม่ค่อยจะ
seldom ไม่ค่อยจะ
hardly ever แทบจะไม่เคย
never ไม่เคย
twice a week สองครั้งต่อสัปดาห์
every day ทุกวัน
Tenses ในภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้ว่า “กาลเวลา” เป็นรูปแบบโครงสร้างของภาษาที่แบ่งออกเป็น 12 รูปแบบ ทำหน้าที่ระบุให้ทราบว่าข้อความหรือคำพูดในแต่ละ tenses นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด
ก่อนที่จะศึกษาเรื่อง tenses อยากให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับเริ่มต้น ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้มากนัก จนถึงขนาดที่ไม่กล้าสื่อสารพูดคุยกับคนต่างชาติ เพราะกลัวจะเลือกใช้ tense ผิด
ว่ากันว่าแม้แต่คนอเมริกันเองที่ใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด ก็ยังไม่ได้ใช้ tense ถูกต้องทุกคน หากเราไปต่างประเทศและถามเจ้าของภาษาสัก 100 คน เรื่อง tenses จะมีเพียง 1 คนเท่านั้น ที่ตอบทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไปนัก
Tenses ภาษาอังกฤษ 12 แบบ
Tense ในภาษาอังกฤษ โดยหลักแล้วจะมี 3 ชนิด ได้แก่
1. Present Tense เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
2. Past Tense เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
3. Future Tense เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
อย่างไรก็ตามที่เราบอกว่า tense มีด้วยกันทั้งหมด 12 แบบนั้น เพราะทั้ง Present Tense , Past Tense และ Future Tense ยังสามารถแบบย่อยออกมาได้อีกอย่างละ 4 แบบ ดังต่อไปนี้
1. Present Tense
1.1 Present Simple เกิดขึ้นสม่ำเสมอในช่วงเวลาปัจจุบัน
1.2 Present Continuous กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน
1.3 Present Perfect เกิดขึ้นและจบลงแล้วในเวลาปัจจุบัน
1.4 Present Perfect Continuous เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และก็ยังดำเนินต่อไปในอนาคต
2. Past Tense
2.1 Past Simple เกิดและจบลงแล้วในอดีต
2.2 Past Continuous เหตุการณ์ที่กำลังเกิดในอดีต
2.3 Past Perfect เหตุการณ์ที่เกิดและสิ้นสุดลงแล้วในอดีต
2.4 Past Perfect Continuous เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต และจบลงแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต
3. Future Tense
3.1 Future Simple จะเกิดขึ้นในอนาคต
3.2 Future Continuous จะเกิดขึ้น ในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
3.3 Future Perfect เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่กำหนด
3.4 Future Perfect Continuous เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งในอนาคต และจะดำเนินต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด
ผู้ที่สนใจเรื่องของ ไวยากรณ์ (Grammar) ภาษาอังกฤษ ในส่วนของ tense แต่ละชนิดอย่างละเอียด สามารถตามอ่านได้จากเว็บไซต์ siameng.com แห่งนี้ ซึ่งจะทยอยลงข้อมูลให้ได้ศึกษากันอย่างครบถ้วน
คราวก่อนเราเรียนรู้คำศัพท์สำคัญเรื่องผักกันไปแล้ว ในวันนี้มาดูคำศัพท์ชื่อผลไม้กันบ้าง ซึ่งเราได้คัดเอาคำที่เป็นชื่อผลไม้ยอดนิยมที่ทั่วโลกรู้จักกันเป็นอย่างดี มาให้ผู้เรียนได้ท่องจำกัน
โดยส่วนมากแล้วชื่อผลไม้จัดเป็นกลุ่มคำที่ไม่ยาก จึงนับเป็นอีกหนึ่งคำศัพท์ในชุดแรก ๆ ที่ถูกนำมาสอนให้กับผู้เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ นอกจากนี้การที่เราต้องรับประทานผลไม้กันเป็นประจำอยู่แล้ว ส่งผลให้จดจำและได้ใช้คำศัพท์เหล่านี้อยู่เสมออีกด้วย
คำศัพท์ภาษาอังกฤษชื่อผลไม้
Apple |
แปลว่า |
แอปเปิล |
Apricot |
แปลว่า |
แอปริคอท |
Avocado |
แปลว่า |
อะโวคาโด |
Banana |
แปลว่า |
กล้วย |
Bilberry |
แปลว่า |
บิลเบอร์รี่ |
Blackberry |
แปลว่า |
แบล็คเบอร์รี่ |
Blackcurrant |
แปลว่า |
แบล็คเคอร์แรนท์ |
Blueberry |
แปลว่า |
บลูเบอร์รี่ |
Breadfruit |
แปลว่า |
สาเก หรือขนุนสำปะลอ |
Cantaloupe |
แปลว่า |
แคนตาลูป |
Cherry |
แปลว่า |
เชอร์รี่ |
Coconut |
แปลว่า |
มะพร้าว |
Cranberry |
แปลว่า |
แครนเบอร์รี่ |
Cucumber |
แปลว่า |
แตงกวา |
Currant |
แปลว่า |
ลูกเกด |
Damson |
แปลว่า |
ลูกแดมสัน |
Date |
แปลว่า |
อินทผลัม |
Dragon fruit |
แปลว่า |
แก้วมังกร |
Durian |
แปลว่า |
ทุเรียน |
Fig |
แปลว่า |
มะเดื่อ |
Goji berry |
แปลว่า |
โกจิเบอร์รี่ |
Grape |
แปลว่า |
องุ่น |
Grapefruit |
แปลว่า |
เกรปฟรุต |
Guava |
แปลว่า |
ฝรั่ง |
Jackfruit |
แปลว่า |
ขนุน |
Jujube |
แปลว่า |
พุทรา |
Kiwi fruit |
แปลว่า |
กีวี |
Lansium |
แปลว่า |
ลางสาด |
Lemon |
แปลว่า |
มะนาวเหลือง |
Lime |
แปลว่า |
มะนาว |
longan |
แปลว่า |
ลำไย |
Lychee |
แปลว่า |
ลิ้นจี่ |
Mango |
แปลว่า |
มะม่วง |
Mangosteen |
แปลว่า |
มังคุด |
Mulberry |
แปลว่า |
มัลเบอรี่ , ลูกหม่อน |
Muskmelon |
แปลว่า |
แตงไทย |
Nut |
แปลว่า |
ถั่วเปลือกแข็ง |
Olive |
แปลว่า |
มะกอก |
Orange |
แปลว่า |
ส้ม |
Papaya |
แปลว่า |
มะละกอ |
Passionfruit |
แปลว่า |
เสาวรส |
Peach |
แปลว่า |
ท้อ |
Pear |
แปลว่า |
ลูกแพร์ |
Persimmon |
แปลว่า |
ลูกพลับ |
Physalis |
แปลว่า |
โทงเทงฝรั่ง |
Pineapple |
แปลว่า |
สับปะรด |
Plum/prune (dried plum) |
แปลว่า |
พลัม / พรุน (ลูกพลัมแห้ง) |
Pomegranate |
แปลว่า |
ผลทับทิม |
Pomelo |
แปลว่า |
ส้มโอ |
Raisin |
แปลว่า |
ลูกเกด |
Rambutan |
แปลว่า |
เงาะ |
Raspberry |
แปลว่า |
ราสเบอร์รี่ |
Star fruit |
แปลว่า |
มะเฟือง |
Strawberry |
แปลว่า |
สตรอเบอร์รี่ |
Tamarind |
แปลว่า |
มะขาม |
Watermelon |
แปลว่า |
แตงโม |
รายชื่อผลไม้และคำแปลเป็นภาษาอังกฤษข้างต้นนั้น มีทั้งผลไม้ที่คุ้นเคยกันดีในประเทศไทย และที่ไม่ค่อยคุ้นชื่อนักเพราะเป็นผลไม้จากโซนทวีปยุโรป โดยเฉพาะกลุ่มเบอรรี่ แต่ปัจจุบันและในอนาคตที่เทคโนโลยีการขนส่งก้าวหน้าขึ้น เชื่อว่าผลไม้แปลก ๆ ที่เราไม่เคยรับประทาน จะถูกนำเข้ามาขายในประเทศไทยมากขึ้นอย่างแน่นอน
123Next Page 1 of 3