Home ไวยกรณ์ภาษาอังกฤษ
เรียนรู้ไวยกรณ์ภาษาอังกฤษ หลักแกรมม่า (Gramma) ที่ถูกต้องของโครงสร้างภาษา ซึ่งจะทำให้เข้าใจการใช้ได้อย่างถูกต้อง

เราใช้ since ทั้งในฐานะคำ บุพบท (preposition) , คำสันธาน (conjunction – เชื่อมประโยค) และ คำวิเศษณ์ ที่กล่าวถึงเวลา

ใช้ Since กับ เวลา

เราใช้ since ในการกล่าวย้อนกลับไปถึงจุดหนึ่งของเวลาที่ผ่านมาแล้ว เป็นการใช้ since ในฐานะ บุพบท (preposition) รวมกับวันที่ ,เวลา หรือ ประโยคคำนาม

since ในกรณีนี้ แปลว่า ตั้งแต่

โดยทั่วไปประโยคจะอยู่ในรูปของ  present perfect และ  past perfect tenses เช่น

I have known her since last year.
ฉันรู้จักเธอตั้งแต่ปีที่แล้ว

It has been raining since yesterday.
ฝนตกตั้งแต่เมื่อวาน

We have lived in this city since 1995.
พวกเราอาศัยในเมืองนี้ตั้งแต่ปี 1995

You are looking much better since your operation.
คุณดูดีขึ้นมากตั้งแต่ศัลยกรรม

 

Since ทำหน้าที่เป็น conjunction – เชื่อมประโยค

since ยังสามารถทำหน้าที่เชื่อมประโยคเข้าด้วยกัน ดังนี้

I have known her since we were kids.
ฉันรู้จักเธอตั้งแต่พวกเรายังเป็นเด็ก

I’ve been lonely since he left
ฉันเหงาตั้งแต่เขาจากไป

 

ใช้ Since บอกเหตุผล

since นอกจากจะแปลว่า ตั้งแต่ ยังใช้ในความหมายเดียวกับ because (เพราะว่า ) ได้อีกด้วย

Jame had no reason to take a taxi since his flat was near enough to walk to.
เจม ไม่มีเหตุผลที่จะขึ้นรถแท็กซี่เพราะว่าแฟลตของเขาอยู่ใกล้พอที่จะเดินไปได้

Since you didn’t call, we left without you.
เพราะว่าคุณไม่โทรมา พวกเราจึงไปโดยไม่มีคุณ

 

since และ for ต่างกันอย่างไร

since จะใช้กับจุดหนึ่งของระยะเวลา เช่น
– 10 โมง
– วันจันทร์
– เดือนมกราคม
– ปี 2015

for จะใช้กับช่วงเวลา เช่น
– 20 นาที
– 3 วัน
– 5 เดือน
– เป็นเวลานาน (a long time)

Adverb (คำกริยาวิเศษณ์)  ในภาษาอังกฤษ คือ คำหรือกลุ่มคำที่ขยาย ให้รายละเอียดของ verbs (คำกริยา), adjectives (คำคุณศัพท์) , รวมทั้ง adverbs อื่น ๆ ในประโยค

adverbs ภาษาอังกฤษ

ตัวอย่างการใช้ Adverb

He speaks slowly “เขาพูดช้า ๆ”
คำว่า slowly ทำหน้าที่ให้รายละเอียดของคำกริยา  speak  ทำให้รู้ว่า พูดช้า ๆ

He is especially clever “เขาฉลาดเป็นพิเศษ”
คำว่า especially ทำหน้าที่ให้รายละเอียดของคำคุณศัพท์ clever ทำให้รู้ว่าฉลาดมาก

The cheetah runs incredibly quickly “เสือชีต้าวิ่งเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ”
quickly ทำหน้าที่ขยายคำว่า run ส่วนคำว่า incredibly ทำหน้าที่ขยายคำว่า quickly ที่เป็นAdverb (คำกริยาวิเศษณ์) อีกทีหนึ่ง

 

ลักษณะของ Adverb

adverbs จำนวนมากลงท้ายด้วย -ly , แต่ก็มีหลายคำที่ไม่ได้ลงท้ายด้วย -ly ดังนั้นคำที่ลงท้ายด้วย ly ไม่ได้หมายความว่าจะเป็น adverbs ทั้งหมด

adverbs ส่วนมาก มาจากการเติม -ly ในคำ adjectives เช่น
careful เป็น carefully
loud เป็น loudly
slow เป็น slowly

เราเรียกกลุ่มคำที่ประกอบด้วยประธานและกริยา ซึ่งทำหน้าที่เป็น Adverb ว่า Adverb Clause เช่น

When this class is over, we’re going to the movies.

เราเรียกกลุ่มคำที่ไม่มีประธานและกริยา ซึ่งทำหน้าที่เป็น Adverb ว่า adverbial phrase เช่น

He went to the movies.
She works on holidays.

 

ประเภทของ Adverbs

1. Adverbs of Manner
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกลักษณะอาการ ซึ่งจะบอกว่าบางสิ่งเป็นอย่างไร หรือ เกิดอะไรขึ้น เช่น

She moved slowly and spoke quietly. เธอเคลื่อนไหวช้า ๆ และพูด เบา ๆ

He was badly injured in the fight. เขาได้รับบาดเจ็บสาหัสในการต่อสู้

 

2. Adverbs of Place
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าสถานที่ใดที่บางสิ่งกระทำหรือเกิดขึ้น เช่น

We can stop here for dinner. เราสามารถหยุดที่นี่เพื่อทานอาหาร

She has lived on the island all her life. เธออาศัยอยู่บนเกาะตลอดชีวิตของเธอ

 

3. Adverbs of Frequency
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าบางสิ่งเกิดขึ้นบ่อยเพียงใด เช่น

They usually go to work by bus. พวกเขามักไปทำงานด้วยรถประจำทาง

Our cat was bitten twice by the same dog. แมวของเราโดนกัดสองครั้งโดยหมาตัวเดียวกัน

 

4. Adverbs of Time
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกว่าเมื่อไรที่บางสิ่งกระทำหรือเกิดขึ้น เช่น

She tries to get back before dark. เธอพยายามที่จะกลับก่อนมืด

He collapsed and died yesterday. เขาล้มลงและเสียชีวิตเมื่อวานนี้

 

5. Adverbs of Degree
เป็นคำกริยาวิเศษณ์ที่ใช้บอกระดับขั้นของบางสิ่งที่ทำหรือเกิดขึ้น เช่น

he accident victim nearly died from his injuries. ผู้ประสบอุบัติเหตุเกือบตายจากจากบาดเจ็บของเขา

Mary is very beautiful. แมรี่สวยมาก

present perfect tense เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ tense ในภาษาอังกฤษที่ถูกใช้บ่อย แต่เนื่องจากรูปแบบทางภาษาอังกฤษไม่ตรงกันกับภาษาไทย จึงทำให้ผู้เรียนรู้สึกสับสนบ้าง

อย่างไรก็ดี หากผู้ศึกษาภาษาอังกฤษได้ทราบถึงโครงสร้าง และหลักการใช้ Present Perfect Tense ที่ถูกต้อง ก็จะสามารถทำความเข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

โครงสร้างของ Present Perfect Tense

 subject + auxiliary verb (have , has) + past participle

ประธาน + กริยาช่วย (have หรือ has ) + กริยา ช่องที่ 3

เช่น I have finished my work

Present Perfect Tense

เมื่อไรที่เราใช้ Present Perfect Tense

1. ใช้กล่าวถึงประสบการณ์ที่เราเคยทำในอดีต โดยไม่ระบุว่าสิ่งที่ทำนั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด โดยมากมักจะมีคำว่า ever ,never ประกอบประโยค เช่น

I have never met Nadej. ฉันไม่เคยเจอณเดช

 

2. กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลง หรือ ข้อมูลใหม่ เช่น

I have bought a bicycle.  ฉันได้ซื้อจักรยานหนึ่งคัน (ก่อนหน้านี้ยังไม่ซื้อจักรยาน แต่ตอนนี้ซื้อแล้ว)

 

3. ใช้กล่าวถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตซึ่งดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน มักใช้คำว่า since หรือ for ร่วมประกอบประโยค เช่น

I have worked here since 1980.  ฉันทำงานที่นี่ตั้งแต่ปี 1980

He has lived in London for 10 years. เขาอยู่ในลอนดอนมา 10 ปีแล้ว (ปัจจุบันก็ยังอยู่)

หมายเหตุ

for จะใช้กับช่วงระยะเวลา เช่น 5 นาที , 10 ชั่วโมง , 15 ปี

since จะใช้กับเวลา ณ จุดใดจุดหนึง เช่น 14 นาฬิกา , เดือนพฤษภาคม , ปี 2010

ในภาษาอังกฤษนั้น มีหลักในการใช้ Present Continuous Tense เมื่อต้องกล่าวถึงสถานการณ์ดังต่อไปนี้

1. พูดคุยถึงกิจกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ เช่น

I am singing ฉันกำลังร้องเพลง

 

2. ใช้บอกเหตุการณ์ที่กำลังทำอยู่ แต่ไม่ได้ทำในขณะที่พูด

I am working in Bangkok this week. ฉันกำลังทำงานในกรุงเทพในสัปดาห์นี้  (ขณะพูดอาจจะเป็นช่วงเลิกงานแล้ว ไม่ได้นั่งทำงานอยู่)

 

3. ใช้กล่าวถึงสิ่งที่จะทำในอนาคตอันใกล้

It is raining soon . ฝนกำลังจะตกในไม่ช้า (ขณะพูด ฝนยังไม่ตก แต่ท้องฟ้ามืดครึ้ม )

I am going to see the movie tomorrow. ฉันจะไปดูหนังในวันพรุ่งนี้

การใช้ Present Continuous Tense

โครงสร้างของ Present Continuous Tense

subject     +     auxiliary verb      +     main verb  + ing

ประธาน + กริยาช่วย (Verb to be ) + กริยาหลัก เติม ing

subject auxiliary verb main verb
I am sitting
We are Playing soccer
He is watching television

ประโยคปฏิเสธใน Present Continuous Tense

เราสามารถเปลี่ยนประโยคบอกเล่าให้กลายเป็นประโยคปฏิเสธได้ด้วยการเติมคำว่า not ที่ข้างหลังคำกริยาช่วย (auxiliary verb) เช่น

I am playing football กลายเป็น I am not playing football  แปลว่า ฉันไม่ได้กำลังเล่นฟุตบอล

 

ประโยคคำถามใน Present Continuous Tense

มีโครงสร้าง คือ   is, am ,are (auxiliary verb) + subject  +     main verb  + ing

เช่น จากประโยคบอกเล่า he is drinking water เปลี่ยนเป็นประโยคคำถามได้ ดังนี้

Is he drinking water ? เขากำลังดื่มน้ำอยู่ ใช่หรือไม่ ?

 

กรณีที่ต้องการสร้างประโยคคำถามด้วยกลุ่มคำ Question Words เช่น what (อะไร), when (เมื่อไร) , where (ที่ไหน) , who (ใคร)

ให้วางคำ Question Words ที่ข้างหน้าของประโยคคำถามใน Present Continuous Tense ได้เลย เช่น

He is watching television. เขากำลังดูทีวี

Where is he watching television? เขากำลังดูทีวีอยู่ที่ไหน

ในบทเรียนนี้เราจะได้ทราบถึงหลักในการใช้ประโยค Present Simple Tense ซึ่งประกอบไปด้วยโครงสร้างของประโยคและทราบว่าเมื่อใดบ้างที่จำเป็นต้องใช้ Present Simple

present simple tense ใช้อย่างไร

 เราจะใช้ Present Simple Tense ในเหตุการณ์ดังต่อไปนี้

– เป็นการกระทำที่เป็นกิจวัตร

– เกิดขึนเป็นประจำอยู่เสมอ

– เป็นความจริงเสมอ

– เป็นความจริงขณะที่พูด

 

โครงสร้างของ Present Simple Tense

 ประธาน + กริยาช่องที่ 1 (เติม s เมื่อประธานเป็นเอกพจน์ แต่ยกเว้น i กับ you)

ตัวอย่างเช่น

I like coffee ฉันชอบกาแฟ

He likes coffe เขาชอบกาแฟ (คำว่า like เติม s เพราะเป็นเอกพจน์ และไม่ใช่ i กับ you)

 

ประโยคปฏิเสธ ใน Present Simple Tense

การเปลี่ยนประโยคบอกเล่า เป็นประโยคปฏิเสธทำได้ ดังนี้

 

– กรณีที่คำกริยาเป็น Verb to be ซึ่งได้แก่ is , am ,are ให้เติมคำว่า not เข้าไปข้างหลัง

ตัวอย่างเช่น

I am Thai แปลว่า ฉันเป็นคนไทย

I am not Thai แปลว่า ฉันไม่ใช่คนไทย

 

– กรณีที่ในประโยคบอกเล่าไม่มี verb to be การเปลี่ยนเป็นประโยคปฏิเสธ ให้เพิ่มคำกริยาช่วย (do , does) แล้วเติม not ที่ข้างหลังกริยาช่วยนั้น

ตัวอย่างเช่น

I like coffee ฉันชอบกาแฟ

I do not like coffee ฉันไม่ชอบกาแฟ

 

He plays football เขาเล่นฟุตบอล

He does not play football เขาไม่เล่นฟุตบอล

 

การเติมกริยาช่วยนั้น ถ้าประธานเป็น I, you, we, they ให้ใช้ do

ถ้าประธานเป็น He, she, it ให้ใช้ does

 

ประโยคคำถาม ใน Present Simple Tense

– กรณีที่คำกริยาเป็น Verb to be ซึ่งได้แก่ is , am ,are ให้ย้ายคำกริยามาไว้ที่หน้าประโยค เช่น

He is a police เขาเป็นตำรวจ

Is he a police ? เขาเป็นตำรวจใช่หรือไม่

 

– กรณีที่คำกริยาในประโยคไม่ใช่ Verb to be ให้เพิ่มกริยาช่วยเข้ามาวางที่หน้าประโยค เช่น

You work at coffee shop คุณทำงานที่ร้านกาแฟ

Do you work at coffee shop ? คุณทำงานที่ร้านกาแฟใช่หรือไม่

คำระบุความถี่ของเหตุการณ์ที่มักจะประกอบอยู่ใน Present Simple Tense

อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วว่า present simple tense คือ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นกิจวัตร อย่างสม่ำเสมอ ดังนั้นคำที่ระบุความถี่ของเหตุการณ์เหล่านี้จึงมักนำมาใช้ประกอบอยู่ในประโยคที่เป็น present simple

always  เสมอ
usually  มักจะ
normally ปกติ
often  บ่อยๆ
sometimes บางครั้ง
occasionally บางครั้งบางคราว
rarely ไม่ค่อยจะ
seldom ไม่ค่อยจะ
hardly ever แทบจะไม่เคย
never ไม่เคย
twice a week  สองครั้งต่อสัปดาห์
every day ทุกวัน

Tenses ในภาษาอังกฤษ แปลเป็นไทยได้ว่า “กาลเวลา” เป็นรูปแบบโครงสร้างของภาษาที่แบ่งออกเป็น 12 รูปแบบ ทำหน้าที่ระบุให้ทราบว่าข้อความหรือคำพูดในแต่ละ tenses นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาใด

ก่อนที่จะศึกษาเรื่อง tenses อยากให้ผู้เรียนภาษาอังกฤษที่อยู่ในระดับเริ่มต้น ไม่ต้องเป็นกังวลในเรื่องนี้มากนัก จนถึงขนาดที่ไม่กล้าสื่อสารพูดคุยกับคนต่างชาติ เพราะกลัวจะเลือกใช้ tense ผิด

ว่ากันว่าแม้แต่คนอเมริกันเองที่ใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด ก็ยังไม่ได้ใช้ tense ถูกต้องทุกคน หากเราไปต่างประเทศและถามเจ้าของภาษาสัก 100 คน เรื่อง tenses จะมีเพียง 1 คนเท่านั้น ที่ตอบทุกอย่างได้อย่างถูกต้อง ดังนั้นอย่าได้เป็นกังวลจนเกินไปนัก

12 tenses ภาษาอังกฤษ

Tenses ภาษาอังกฤษ 12 แบบ

Tense ในภาษาอังกฤษ โดยหลักแล้วจะมี 3 ชนิด ได้แก่

1. Present Tense  เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

2. Past Tense เกี่ยวข้องกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต

3. Future Tense เกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต

อย่างไรก็ตามที่เราบอกว่า tense มีด้วยกันทั้งหมด 12 แบบนั้น เพราะทั้ง Present Tense  , Past Tense และ Future Tense ยังสามารถแบบย่อยออกมาได้อีกอย่างละ 4 แบบ ดังต่อไปนี้

1. Present Tense

1.1 Present Simple     เกิดขึ้นสม่ำเสมอในช่วงเวลาปัจจุบัน

1.2 Present Continuous     กำลังเกิดขึ้นในช่วงเวลาปัจจุบัน

1.3 Present Perfect    เกิดขึ้นและจบลงแล้วในเวลาปัจจุบัน

1.4 Present Perfect Continuous     เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังดำเนินต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และก็ยังดำเนินต่อไปในอนาคต

 

2. Past Tense

2.1 Past Simple    เกิดและจบลงแล้วในอดีต

2.2 Past Continuous     เหตุการณ์ที่กำลังเกิดในอดีต

2.3 Past Perfect     เหตุการณ์ที่เกิดและสิ้นสุดลงแล้วในอดีต

2.4 Past Perfect Continuous     เกิดขึ้นต่อเนื่องในอดีต และจบลงแล้ว ในช่วงเวลาหนึ่งในอดีต

 

3. Future Tense

3.1 Future Simple    จะเกิดขึ้นในอนาคต

3.2 Future Continuous    จะเกิดขึ้น ในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต

3.3 Future Perfect    เกิดขึ้นและสิ้นสุดลงในอนาคต เมื่อถึงเวลาที่กำหนด

3.4 Future Perfect Continuous    เกิดขึ้นและดำเนินอยู่ในขณะใดขณะหนึ่งในอนาคต และจะดำเนินต่อเนื่องไปไม่สิ้นสุด

 

ผู้ที่สนใจเรื่องของ ไวยากรณ์ (Grammar) ภาษาอังกฤษ ในส่วนของ tense แต่ละชนิดอย่างละเอียด สามารถตามอ่านได้จากเว็บไซต์ siameng.com แห่งนี้ ซึ่งจะทยอยลงข้อมูลให้ได้ศึกษากันอย่างครบถ้วน